วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ห่มผ้าให้แม่พระธรณี

สวัสดีครับชาวเกษตรอินทรีย์ถ้าพูดถึงการทำเกษตรปัจจัยการผลิตที่สำคัญในการผลิตนั้นก็คือดิน ดินถือเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญเคียงคู่กับน้ำ ดินนั้นเมื่อผ่านการปลูกพืชเป็นเวลานานหรือ ปลูกพืชเชิงเดี่ยวเป็นเวลานานหรือผ่านการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงเป็นเวลานานทำให้สารอินทรีย์หรืออินทรีย์วัตถุในดินเสียหายจุลินทรีย์ในดินตายเมื่อจุลินทรีย์ ทำให้ดินผืนนั้นก็จะตายไปด้วยทำให้ปลูกอะไรไม่ค่อยเจรฺิญเติบโตทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงดินหรือใชปุ๋ยเคมีเพิ่มและถึงแม้จะให้ปุ๋ยก็ใช่ว่าจะทำให้ดินดีขึ้นกลับจะทำให้ดินเสื่อมลงไปอีก แนวทางเดียวที่จะทำให้ดินดีขึ้นคือการเพิ่มสารอินทรีย์ลงไปในดินทำให้ดินมีความชื้น เมื่อดินมีความชื้นก็จะเกิดความร้อนและจะเกิดจุลินทรีย์เมื่อมีจุลินทรีย์นั้นคือ ดินเริ่มมีชีวิต ซึ่งวิธีการเพิ่มสารอินทรีย์ลงไปในดินนั้นอาจทๆได้หลายวิธีแต่วิธีการที่จะให้ผลระยะยาวนั้นคือการ "ห่มดิน" ซึ่งการห่มดินเป็นแนวทางหนึ่งในการพํฒนาผืนดิน เราจะห่มดินอย่างไรไปดูกันครับ



ในหลวงทรงให้ความรู้เรื่องการห่มดิน
 ในหลวงทรงรับสั่งให้ “ห่มดิน อย่าเปลือยดิน”  การทำให้โคนเตียนด้วยการถากเท่ากับเป็นการเปลือยดิน ทางที่ดี หากมีแรงจ้างตัดหญ้า น่าจะดี เพราะหญ้าที่ตัดจะเป็นอินทรียวัตถุให้ดินย่อยเป็นปุ๋ย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ(รัชกาลที่๙) ทรงพระราชทานแนวพระราชดำริในการดูแลและรักษาดินอีกทางหนึ่ง นั่นคือ “การห่มดิน” เพื่อให้ดินมีความชุ่มชื้น จุลินทรีย์ทำงานได้ดี อันจะส่งผลให้ดินบริเวณนั้นทำการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและพัฒนาทรัพยากรดินให้เกิดแร่ธาตุ ทั้งนี้การห่มดินมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีการ เช่น ใช้ฟางและเศษใบไม้มาห่มดินหรือวัสดุอื่นตามที่หาได้ตามสภาพทั่วไปของพื้นที่, การใช้พรมใยปาล์ม (wee drop) ซึ่งทำมาจากปาล์มที่ผ่านการรีดน้ำมันแล้ว เริ่มจากการนำทะลายปาล์มมาตะกุยให้เป็นเส้น ๆ ก่อนจะเอาไปอัดให้เป็นแผ่นเป็นผ้าห่มดิน นอกจากประโยชน์ที่กล่าวไปแล้ว การห่มดินยังจะช่วยคลุมหน้าดินไม่ให้วัชพืชขึ้นรบกวนต้นไม้พืชหลักอีกด้วย 
ดินเป็นปัจจัยสำคัญในการกสิกรรม
ดินจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญในการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ หรือ “การกสิกรรม” หรือ “การเกษตรกรรม” การพัฒนารักษาคุ้มครอง “ดิน” การเพิ่มความอุ้มน้ำให้แก่ดิน เช่น การเติมอินทรียวัตถุให้แก่ดินเศษวัชพืช แกลบดิบ ถ้าประสบพบเจอกับอากาศที่หนาวเย็น แห้งแล้งก็ต้องรู้จักรักษาดิน  รักษาความนุ่มชุ่มชื้นจากอินทรียวัตถุจากตอซังฟางข้าว หรือเศษซากใบอ้อย ซึ่งรวม ๆ การกระทำดังกล่าวเป็นไปตามหลัก “กสิกรรมธรรมชาติ” หรือ “หลักการเกษตรชีวภาพ” 3 ประการคือ
 1 การเลี้ยงดิน ให้ดินเลี้ยงพืช 
 2 การปรุงอาหารเลี้ยงดิน 
 3 การห่มดิน
การห่มดิน คืออะไร 
การห่มดิน คือ เป็นการป้องกันการระเหยของความชื้นที่อยู่ในดิน และเป็นที่อาศัยของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ จุลินทรีย์ชอบอยู่ในที่มืดที่มีความชุ่มชื้น ซึ่งจะทำให้จุลินทรีย์ทำงานและขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะทำให้ดินมีความสมบูรณ์
การห่มดิน เป็นวิธีการป้องกันหญ้าที่ขึ้นในพื้นที่เราได้ด้วย เพราะหญ้าโดนคลุมไว้ก็ไม่สามารถเจริญเติบโตได้
การห่มดิน เป็นวิธีการเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน หรือเป็นการปรับปรุงดินก่อนการเพาะปลูก ดินที่ดีสังเกตจะมีเชื้อราเกิดขึ้น และต้องใช้ร่วมกับ น้ำหมักชีวภาพ จะทำให้ดินมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ปลูกหญ้าแฝกด้วย ใบแฝกก็ตัดมาห่มดินได้ ก็เป็นการดี
การห่มดินเพื่อให้จุลินทรีย์ในดินมีความอุดมสมบูรณ์ ถ้าเปลือยดินไว้จะทำให้จุลินทรีย์ตาย ต้นไม้จะไม่สามารถเจริญเติบได้ 
ปัญญาธรรมชาติรักดินต้องปรับปรุง
เรื่องการห่มดินสรุปว่า เป็น “ปัญญาธรรมชาติ” “รักดินต้องปรับปรุง รักท้องทุ่งต้องใช้อินทรียวัตถุไปปรับปรุงดิน” ช่วงก่อนปี 2553-2554 มีการศึกษาและให้ความสำคัญในเรื่องนี้ อ.วิวัฒน์ ศัลยกำธร กล่าวไว้ว่าพืชพันธุ์หรือต้นไม้ไม่ว่าพืชชั้นสูงพืชชั้นต่ำ ไม้ใหญ่ไม้เล็กก็ต้องการความสมดุลทางธรรมชาติเช่นเดียวกันทั้งสิ้นบางครั้งสิ่งที่เขาขาดไปเราก็สามารถแต่งเติมธรรมชาติให้เขาได้เช่นกันโดยไม่ทิ้งความจริงของธรรมชาติเช่น การห่มดิน
นักวิชาการเสริมอีกว่า การรักษาดินโดย
(1) ไม่ซ้ำเติมดินคืนจุลินทรีย์ให้ดินช่วยปลุกพระแม่ธรณีคืนชีพ
(2) ต้องมีความเข้าใจในพื้นที่แต่ละแห่งแล้วลงมือทำอย่างมีความหวังใบไม้แห้งกิ่งไม้แห้งที่ล่วงหล่นยามแล้งอย่ากวาดออกไปปล่อยให้ล่วงหล่นมาห่มดินให้ค่อยๆเรียกความชื้นเพิ่มขึ้นมา
(3) ยามที่ฝนฟ้าคะนองเทน้ำมาให้ก็จำบังหน้าดินไม่ให้ถูกกระแทกอย่างรุนแรง แถมยังกักเก็บน้ำไว้ให้หน้าดินได้นาน
(4) เมื่อมีความชื้นความอบอุ่นเหล่าสิ่งมีชีวิตตัวเล็กตัวน้อยก็จะมาอาศัยอยู่สร้างกิจกรรมตามธรรมชาติ
แล้วจะนำมาการฟื้นแผ่นดิน




ต่อมามีการศึกษาเรียนรู้ต่อยอดจากประสบการณ์นำแนวคิดการทำเกษตรผสมผสานตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงมาปรับใช้ โดยการปรับคุณภาพดินด้วยการ “ห่มดิน” ด้วยฟางข้าว เป็นต้น เพื่อทำให้ดินมีชีวิต การรักษาไม้ยืนต้นเดิมที่มีอยู่ในพื้นที่สวน และเสริมพันธุ์ไม้ใหม่ที่เหมาะสมกับพืชเดิมที่มีอยู่ ด้วยแนวคิดการปลูกพืช 5 ระดับ คือ พืชใต้ดิน พืชเลื้อย พืชพ้นดิน พืชยืนต้นระดับกลาง และไม้ยืนต้นระยะยาว ในพื้นที่เดียวกัน


TH Rainy Day Essentials

วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ลูกเขาคันผักพื้นบ้าน ที่ไครได้ทานต้องติดใจ ประโยชน์มีอย่างไรไปดูกัน!!!

ลูกเขาคันผักพื้นบ้าน ที่ไครได้ทานต้องติดใจ ประโยชน์มีอย่างไรไปดูกัน!!!

ถ้าพูดถึงผักพื้นบ้านที่ชื่อว่า "ลูกเขาคัน" ในภาษาปักษ์ใต้ อาจมีหลายคนไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่ามันคือลูก "เถาคัน" ไครหลายคนคงร้องอ๋อ  






ลูกเขาคัน หรือ เถาคัน เป็นชื่อที่คนภาคใต้เรียกพืชชนิดนี้ เขาคัน เป็นไม้เถาเลื้อย มีหนวดเกาะเกี่ยวขึ้นไปตามไม้อื่นเป็นที่พึ่ง มักชอบขึ้นที่ชื้นค่อนข้างต่ำโดยเฉพาะริมแม่น้ำ ลำคลอง ป่าริมทะเล ส่วนมากพบเห็นแถวภาคใต้ ในพื้นที่ภาคกลาง และภาคอีสาน

ในภาคใต้นั้นมีผักผลไม้ที่ให้รสเปรี้ยวมีมากมาย ทั้งมะขาม มะนาว ส้มแขก ส้มจี๊ด ใบชะมวงแต่ในบางช่วงเวลาพืชผักเหล่านี้มีราคาค่อนข้างแพง หรือหาไม่ได้ ภูมิปัญญาชาวบ้านคนในรุ่นบรรพชนได้ค้นหาพืชผักที่รสเปรี้ยวมาแทน นั้นคือ ลูกเขาคัน โดยส่วนมากจะนำเขาคันมาทำเป็นแกงส้มกับปลาสดๆโดยเฉพาะดุกนาหรือปลาดุกเนื้ออ่อน หรือแม้แต่แกงกับปลาทะเลก็อร่อยไม่แพ้กัน

ถึงแม้ลูกเขาคันถ้าทานสดๆอาจจะมีการระคายเคืองในลำคอบ้าง(อันนี้ผู้เขียนลองชิมเอง)แต่ถ้านำมาแกงรับรองอร่อยจนต้องขอเพิ่ม 






 เมนูขึ้นชื่อแกงส้มปลาดุกนาลูกเขาคัน






แกงส้มลูกเขาคันนั้นจะมีรสชาดเปรี้ยวอ่อนๆจะไม่เปรี้ยวจัดเหมือนมะนาวหรือผักรสเปรี้ยวอื่นและจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของมันเอง

เขาคันนั้นมีลักษณะ เป็นไม้เถาโดยขึ้นอาศัยตามต้นไม้อื่นหรือกำแพง มีดอกออกจากข้อเป็นช่อสีขาว ลักษณะทั้งเถา ใบ ผล เหมือนองุ่นป่า เพราะช่อดอกและติดผลเป็นพวงคล้ายองุ่น ผลหรือลูกจะกลมเป็นพวงสีเขียวใส ผิวมันเรียบ เมื่อสุกผลจะเป็นสีม่วงแดงและเมื่อสุกเต็มที่จะมีสีม่วงดำ น้ำในผลที่แตกหากถูกผิวหนังจะทำให้คันระคายเคือง


เขาคัน ในประเทศไทย มี 2 ชนิด คือ
  1. เขาคันขาว เป็นชนิดที่ผลใช้เป็นผักแกงส้ม และเมื่อสุกเต็มที่จะมีสีม่วงดำเอามาต้มกับน้ำตาลแล้วกิน แต่น้ำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ หรือในสมัยก่อนผลสุกสีดำมักใช้เป็นสีย้อมผ้า
  2. เขาคันแดง เป็นชนิดที่พบตามป่าเต็งรัง เปลือกเถาอ่อนสีแดง เถาแก่สีน้ำตาลอมแดง ใบและก้านใบสีแดงถึงแดงอมม่วง แพทย์แผนไทยจะใช้เขาคันแดงเป็นยาสมุนไพร คือ เถาสด หรือเถาแห้งใช้ต้มดื่มน้ำช่วยขับปัสสาวะ แก้นิ่ว เป็นยาฟอกโลหิต แก้ฟกช้ำภายในขับเลือดเน่า ขับน้ำคาวปลา
 สรรพคุณของเขาคัน

เถาใช้ปรุงเป็นยาต้มกิน เป็นยารักษาโรคกษัย เป็นยาฟอกเลือด เป็นยาขับเสมหะ ขับลม รักษาอาการฟกช้ำภายใน และช่วยทำให้เส้นเอ็นหย่อน (เถา)

ใบนำไปอังกับไฟให้พอเหี่ยว ใช่ปิดฝีบ่มหนอง ถ้าฝีนั้นแตกก็จะทำให้ดูดหนองได้ คล้ายขี้ผึ้งอิดติโยนของฝรั่ง (ใบ)

ประโยชน์ของเขาคัน

ผลดิบใช้กินเป็นอาหารได้ (ให้รสชาติขมเล็กน้อย ใช้ใส่น้ำพริกและใช้แกงส้ม) (แต่มีข้อมูลชี้ว่าผลเถาคันแดงมีกรดออกซาลิคซึ่งเป็นสารพิษ หากได้รับในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการคัน เพราะสารนี้มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อผนังกระเพาะลำไส้และจะถูกดูดซึมผ่านผนังที่อักเสบจนทำให้เกิดเป็นแคลเซียมออกซาเลทได้ มีผลทำให้ปริมาณของแคลเซียมอิออนลดลง ซึ่งภาวะเช่นนี้จะมีผลต่อการทำงานของหัวใจและประสาทส่วนกลาง ไตพิการ เนื่องจากมีการตกตะกอนของแคลเซียมออกซาเลท)ยอดอ่อนมีรสจืด มักนำมาลวก ต้ม จิ้มกับน้ำพริกหรือรับประทานเป็นผักสด



                                                                      little House channel website

วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561

ปุ๋ยหมักทำง่ายกว่าที่คิด พืชผักปลอดภัยไร้สารเคมี

ปุ๋ยหมักทำง่ายกว่าที่คิด ไม่ต้องซื้อปุ๋ยเคมีมาใช้ดีต่อใจ พืชผักปลอดภัยไร้สารเคมี

ถ้าพูดถึงการทำปุ๋ยหมักแล้วหลายคนคงคิดว่าทำยากใช้แรงงานเยอะ เหนื่อย แต่ความจริงแล้วการทำปุ๋ยหมักนั้นมีหลายวิธีการ วิธีที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็นแค่วิธีการหนี่งซึ่งทำง่ายและใช้เวลาไม่นานแค่คนๆเดียวก็ทำได้สบายและเหมาะกับคนที่มีพื้นที่ไม่มากโดยมีชื่อเรียกว่าการทำปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกลับกองในตะกร้าหรือวงตาข่าย(วิธีวิศวกรรมแม่โจ้1)               
             ซึ่งสิ่งที่ต้องเตรียมมีดังนี้
                    1 ตาข่ายหรือ ตะกร้าใส่ผ้าขนาดใหนก็ได้
                    2  เศษพืชผักใบไม้สด ใบไม้แห้ง ฟางข้าว 
                    3  มูลสัตว์ ใช้ได้หมด ทั้งมูลวัว มูลไก่ มูลหมู(ต้องไม่ผ่านกระบวนทำแก๊ส)
                    4 น้ำ
การทำปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกในวงตาข่ายหรือตะกร้า 2 เดือนเสร็จ
1. ให้หาตะกร้าผ้าหรือซื้อตาข่ายไนล่อน หรือตาข่ายเหล็ก จากร้านวัสดุก่อสร้าง ถ้าซื้อมาสัก 3 เมตร  ก็จะทำวงเส้นผ่านศูนย์กลางได้ประมาณ 1 เมตร วงกว้างขนาดนี้จะไม่ล้มเอียงครับ ...... วงกว้างกว่านี้ก็กลัวอากาศเข้าได้ไม่ทั่วถึง
2. วางเศษพืชสลับกับมูลสัตว์เป็นชั้น ๆ ลงไป ในสัดส่วนใบไม้ต่อมูลสัตว์ 3 ต่อ 1 แต่ถ้าเป็นฟางหรือหญ้าก็ 4 ต่อ 1 ....... ใบไม้สดเปื่อยง่ายดี ..... มูลสัตว์ใช้อะไรก็ได้ ขี้วัวแห้งเหมาะสุดเพราะไม่มีกลิ่น ...... ขี้ไก่มักมีแมลงวันตอมและมีกลิ่นหน่อย
                               ปุ๋ยหมักในตะกร้าหลังทำเสร็จใหม่
วางเศษพืชหนาชั้นละ 5-10 ซม. โรยทับด้วยมูลสัตว์ในสัดส่วนที่กำหนด แล้วรดน้ำ ....... อย่างเช่น ถ้าใส่ใบไม้ 3 กะละมัง (อัดแน่น ๆ) ก็โรยทับด้วยมูลสัตว์ 1 กะละมัง (เพื่อให้เป็นสัดส่วน 3 ต่อ 1 โดยปริมาตร ถ้าเป็นหญ้า หรือฟาง หรือผักตบก็ 4 ต่อ 1) แล้วรดน้ำ ..... การวางเศษพืชให้วางเบา ๆ ไม่ทำให้แน่น ...... ใช้ไม้เขี่ย ๆ ให้ได้ระดับเสมอกัน
3. ทำเป็นชั้น ๆ แบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเศษพืชหมด หรือเต็มวง .... #รดน้ำทุกชั้น ...... เศษผัก เปลือกผลไม้ เศษอาหาร (ไม่เอาน้ำแกง) ก็สามารถวางสลับระหว่างชั้นพวกนี้ได้ ....... เปลือกผลไม้พวกทุเรียนให้ซอยให้เป็นชิ้นเล็กก่อนนะครับ โดยใช้สัดส่วน เปลือกผลไม้หรือเศษผัก 1-1.5 ส่วน ทับด้วยใบไม้ 1-1.5 ส่วน ตามด้วยขี้วัว 1 ส่วน แล้วรดน้ำ ทำเป็นชั้น ๆ ไปครับ
ใครมีอึน้องหมา น้องแมว ก็เอาไปยัด ๆ ไว้ข้างในได้ รับรองไม่มีกลิ่นครับ
4. วิธีดูแลน้ำตลอด 2 เดือนคือ รดน้ำภายนอกรอบ ๆ ทุกวัน หรือวันเว้นวันก็ได้ ...... แล้วทุก 7-10 วันก็ให้เหล็กแหลมมาเจาะที่ด้านบน เจาะลงแนวดิ่งให้ถึงพื้น ระยะห่างแต่ละรูสัก 20 ซม. แล้วกรอกน้ำลงไป ใช้เวลาเติมน้ำทั้งหมดไม่เกิน 10 วินาที เพื่อไม่ให้น้ำนองออกมามากเกินไป
5. การทำปุ๋ยหมักแบบนี้สามารถเติมได้เรื่อย ๆ .... ถ้าเติมไม่เกิน 10 วัน ก็ถือว่าเสร็จได้ใน 60 วัน ..... ถ้าเติมเรื่อย ๆ ไม่หยุด ก็จะนับวันที่ 1 เมื่อหยุดเติมครับ แล้วบวกไปอีก 50 วัน
                            ปุ๋ยหมักในตะกร้าหลังจาก 1 เดือนผ่านไป
6. พอครบ 2 เดือน มันจะยุบเหลือ 1-2 คืบ ....... ก็แกะวงตาข่ายออกหรือเทปุ๋ยหักออกจากตะกร้า ทั้งหมดในวงก็จะกลายเป็นปุ๋ยหมักครับ ส่วนที่อยู่ขอบ ๆ และพื้นอาจไม่เปื่อย ....... ทำให้ปุ๋ยหมักแห้งก่อนใช้ เพื่อให้จุลินทรีย์ที่กำลังแฮปปี้กับการย่อยสลายเศษพืชสงบตัว ไม่ไปเป็นอันตรายต่อรากพืชของเราครับ ..... ทำให้แห้งแต่ไม่ต้องแห้งสนิท ...... ใบไม้บางส่วนที่ดำ ๆ ดูเหมือนจะไม่เปื่อย แต่พอแห้งก็จะแตก กรอบ ป่นลงไปอีกครับ ..... ใบไม้ที่อยู่ด้านบน และขอบ ๆ ด้านข้างที่เปื่อย ก็เพียงแต่แยกออก แล้วเก็บไว้เตรียมทำปุ๋ยหมักรอบต่อไป
การที่ใช้ตาข่ายก็เพื่อให้มีอากาศจากภายนอกไหลเวียนเข้าไปข้างใน .... ห้ามทำให้กองปุ๋ยแน่น เพราะถ้าแน่น อากาศจะไหลเวียนเข้าไปไม่ได้ การเป็นปุ๋ยหมักก็จะช้า .... การที่ให้ดูแลน้ำตามที่กำหนด เพราะถ้าขาดน้ำ จุลินทรีย์ก็จะยุติการทำงานครับ .... ถ้ากองปุ๋ยหมักแห้ง อย่าว่าแต่ 2 เดือนเลยครับ ต่อให้อีก 20 เดือนก็ไม่มีวันเปื่อยเป็นปุ๋ยหมักครับ
กองปุ๋ยหมักในวงตาข่ายแบบนี้วางกลางแดด ตากฝนได้ เพราะฝนไม่มีวันซึมเข้ากองปุ๋ยครับ .... และถึงจะมีฝนตกหนักหลายวัน ถ้าครบ 7-10 วัน ก็ยังต้องฝ่าฝน กางร่ม ไปเจาะกรอกน้ำอยู่นะครับ 
วิธีนี้ย่อส่วนมาจากการทำปุ๋ยหมักกองใหญ่รูปสามเหลี่ยมที่กองยาว ๆ ครับ
ใครจะประยุกต์ขึ้นไปอีก โดยการแกะวงตาข่ายออกทุก 5 วัน แล้วพลิกผสม รดน้ำ แล้วเอากลับเข้าวง ..... แบบนี้เราก็ไม่ต้องดูแลน้ำอย่างที่กำหนดไว้ข้างบนเลยครับ ไปรดน้ำตอนแกะพลิกผสม .... การทำแบบนี้จะทำให้เสร็จภายใน 35 วันครับ และเป็นปุ๋ยหมักสวย ๆ ได้ทุกส่วนเพราะได้รับออกซิเจนจากการพลิกผสม
ใครจะหาไม้หลักมาตอกรอบแทนการใช้ตาข่าย แบบนี้ก็ได้เหมือนกันครับ เพราะอากาศเข้าไปได้ และประหยัดดี
เพื่อน ๆ อาจย่อส่วนลงไปอีก เอาไปทำในเข่ง หรือตะกร้าผ้าก็ได้ครับ ที่มีรูด้านข้าง .... วิธีนี้ไม่เคยมีกลิ่นครับ เพราะเป็นการย่อยสลายทางชีวภาพแบบใช้ออกซิเจนครับ (Aerobic Decomposition) ที่สร้างกลิ่นไม่เป็น
                         ปุ๋ยหมักหลังจาก2เดือนทำให้แห้งพร้อมใช้งาน
ลองทำดูกันนะครับ สงสัยก็ถามเข้ามา ส่งรูปให้ดู ก็จะมีเพื่อน ๆ คอยช่วยตอบให้ครับ ...... แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในโลกออนไลน์ ..... เกื้อกูล เอื้ออาทร แบ่งปันกัน อย่างมีสติกันนะครับ
อันนี้เป็นแค่วิธีหนึ่งจาก 5 วิธีการทำสนใจหาความรู้เข้าไปดูได้ทีfacebook กลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ คนทำปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกอง
ที่มา : facebook แลกเปลี่ยนเรียนรู้ คนทำปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกอง

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สูตรขนมเจาะหู (ขนมมซัม)ขนมพื้นเมืองปักษ์ใต้

ส่วนประกอบ
 1  น้ำตาลดปิ๊ป               1.5   กก
 2  นำ้ตาลโตนด             0.5   กก
 3  แป้งข้าวเจ้า                1     กก
 4  แป้งข้าวเหนียว          0.5  กก
 5  งาขาว ใส่ตามชอบ
 6  มันเทศ                       300-400  กรัม
 7  น้ำมันสำหรับทอด(ใช้น้ำมันปาล์ม) ประมาณ 2 กก
 8  นำ้เปล่าล็กน้อยสำหรับผสมแป้งและส่วนผสมต่างๆ


วิธีทำ
1 นำมันเทศมาล้างสะอาดมาต้มให้สุก จากนั้นนำมาบดให้ละเอียด
2 เทน้ำใส่กะละมังผสมหรือหม้อ ใส่นำ้น้อยๆก่อนจากนั้นใส่น้ำตาลปิ๊บลงไปทำให้ละลาย
3 ใส่มันเทศลงไปผสมให้เข้ากัน
4 ใส่แป้งเข้าเจ้าลงไปคนให้เข้ากันหลังจากนั้นใสแป้งข้าวเหนียวแล้วคนให้เข้ากัน
5 ใส่งาตามชอบลงไปลงไปผสม
6 ใส่น้ำตาลโตนดลงไปผสมให้เข้ากัน
7 นวดแป้งให้เข้ากัน ถ้าแป้งแข็งเกินไปเพิ่มนำ้เล็กน้อยเพื่อความนุ่มถ้าต้องการความหอมมันให้เติมนมรสจืดลงไปเล็กน้อย นวดแป้งให้ข้ากันพักไว้นานประมาณ 1 ชม
8 หลังจากนั้นนำไปทอดในนำ้มันที่ร้อนใช้ไฟกลางถึงไฟแรง โดยปั้นขนมเป็นวง ทอดให้สุกเหลืองโดยเมื่อขนมสุกจะลอยขึ้นมาแล้วใช้ไม้หรือเหล็กแหลมในสมัยก่อนนิยมใช้ไม้ไผ่สองชิ้นสำหรับเขี่ยขนม
(มีคลิบ)

วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

แกงกะทิสายบัวปลาทูนึ่ง





แกงกะทิสายบัวปลาทูนึ่ง

ส่วนผสม

ปลาทูนึ่ง 2-3 ตัว แกะเอาแต่เนื้อ หรือ น้ำหนักประมาณ         150-200 กรัม

สายบัวหั่นท่อนประมาณ 10 ต้น  หรือน้ำหนักประมาณ           200-250 กรัม

น้ำกะทิ                                                                                   400-500  มิลลิลิตร

น้ำมะขามเปียก                                                                       3            ช้อนโต๊ะ   

น้ำตาลปี๊ป                                                                               2-3        ช้อนโต๊ะ

หอม                                                                                        5-6        หัว

กระเทียม                                                                                 4-5        กลีบ

พริกไทยเม็ด                                                                            1/4        ช้อนโต๊ะ

กะปิ                                                                                          1/2        ช้อนโต๊ะ

เกลือ                                                                                         1/2       ช้อนชา

วิธีทำ

1 โขลก หอมกระเทียมพริกไทยและกะปิรวมกันให้ละเอียด

2 ต้มน้ำกะทิพอร้อนใส่เครื่องที่โขลกไว้ลงไปต้มให้เดือด

3 ใส่ปลาทุนึ่งและสายบัวลงไป รอให้เดือด

4 ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ เกลือ ชิมรสตามชอบ ยกลง

5ใส่ภาชนะ เพิ่มสีสันด้วยพริกขี้หนู   จัดเสิร์ฟ

  


Seagull กระทะลายหินอ่อน ทรงลึก พรีเมี่ยม มาร์เบิ้ล สโตน 28 ซม. 
888 บาท ราคาปกติ 1,790 บาท, ประหยัดทันที 50%

วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560

แกงจืดมะระยัดไส้หมูเห็ดหอม(สูตรครัวนายวี)

ส่วนผสม

เนื้อหมูสามชั้น ประมาณ 300  กรัม
มะระ                                    1 ลูก
ผักชี(มีราก)                         3 ต้น
กระเทียม                             1ช้อนโต๊ะ
พริกไทยดำ                      1/2 ช้อนชา
ซอสปรุงรส                           ใส่ตามชอบ
น้ำเปล่าสำหรับต้ม                                 
เกลือป่น                               ใส่ตามชอบ
เห็ดหอมแห้ง                      1 ถุง(ประมาณ 5-10ดอก) 




วิธีทำ
1 นำหมูมาสับผสมกับพริกไทยดำ กระเทียม และรากผักชี ให้ละเอียด พักไว้
2 นำมะระมาล้างทำความสะอาดแล้วหั่นเป็นท่อนควักไส้ออกล้างแช่กับน้ำเกลือเพื่อลดความขมหรือจะนำไปลวกก่อนประมาณ 3-5 นาทีก็ได้(กรณีลวกต้มให้เดือดก่อนแล้วจึงใส่มะระลงไป)
3 นำเห็ดหอมไปล้างนำ้ให้สะอาดแล้วหั่นแช่น้ำไว้
4 นำน้ำสำหรับแกงไปตั้งไฟรอเดือด ระหว่างรอน้ำเดือดนำหมูที่สับไว้มายัดใส่มะระให้เรียบร้อย
5 เมื่อน้ำแกงเดือดให้ใส่มะระยัดไส้หมูลงไปต้มจนเริ่มสุก แล้วปรุงรสตามชอบ
6 นำเห็ดหอมที่หั่นแช่นำ้ไว้มาใส่พร้อมกับนำ้ที่แช่เห็ดหอมรอสุกชิมรสอีกครั้ง
7 นำต้นหอมผักชีมาไส่เพิ่มความหอมและสีสันให้น่ารับประทานยิ่งขึ้นตักใ่ส่ชามพร้อมเสิร์ฟ





วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560

การขยายเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงและการนำไปใช้งาน

การขยายเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงและการนำไปใช้งาน

หลังจากที่ผมเขียนบทความการทำหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงไปแล้ว บทความนี้ผมจะมากล่าวถึงการขยายเชื้อและการนำไปใช้งานซึ่งในขั้นตอนการขยายเชื้อนั้นนั้นมีข้อแนะนำอยู่คือควรเอาเชื้อที่เป็นเต็มที่แล้วพร้อมใช้งานมาทำการขยายเชื้อเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด และน้ำควรเป็นน้ำที่สะอาดถ้าเป็นน้ำประปาควรเปิดเก็บไว้อย่างน้อย 3-5 วัน นะครับ

ส่วนประกอบการขยายเชื้อจุลินทีย์สังเคราะห์แสง

1 หัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง     200  (ใช้กับน้ำ 1.5 – 2 ลิตร)
2  น้ำ 1.5 – 2 ลิตร
3 ไข่ไก่  1 ฟอง( ใช้ขยายได้ประมาณ4-6 ขวดน้ำ 1.5 – 2 ลิตร)
4 อุปกรณ์อื่นๆ เช่นช้อนกลางสำหรับตวง,ถ้วย ขวดน้ำขนาดประมาณ 2 ลิตร แบบใสสำหรับใส่เชื้อขยาย
**หมายเหตุ 1 ช้อนกลาง เท่ากับ 15 cc โดยประมาณ

ขั้นตอนการขยาย

1 ตีไข่ใส่ถ้วย คนให้เข้ากัน
2 นำน้ำใส่ขวดเล็กน้อยแล้วจากนั้นตักไข่ที่คนเตรียมไว้ 1ช้อนกลางใส่ตามลงไปแล้วเขย่าให้เข้ากัน
3 หลังจากนั้นเติมหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ปริมาณ200 ตามลงไป แล้วเติมน้ำสะอาดตามลงไปให้เกือบเต็มขวด(ควรเหลือพื้นไว้ใขวดสักเล็กน้อย)หลังจากนั้นปิดฝาแล้วเขย่าให้เข้ากัน แล้วนำไปตากแดด การขยายเชื้อแบบนี้จะใช้เวลาประมาณ 15 วันก็นำไปใช้งานได้(ขึ้นอยู่กับแดดในพื้นที่นั้นๆด้วยครับ) แต่ถ้าต้องการขยายเชื้อในปริมาณมากก็เพิ่มสัดส่วนเข้าไปนะครับ เช่น ต้องการขยายเชื้อ  10 ลิตร ก็ใช้หัวเชื้อ 2 ลิตร ไข่ไก่ ประมาณ  2 ฟอง เป็นต้น
ตัวอย่างการขยายเชื้อ



ประโยชน์ของจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง

1 ในด้านการเกษตร
                - ช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมีเพิ่มธาตุในโตรเจนแลช่วยในการปลดปล่อยธาตุอาหารในดิน
                - ช่วยในการเพิ่มผลผลิตได้สูงขึ้นได้ถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์(ข้าว)
                - ช่วยย่อยสลายของเสียในนาข้าวโดยเฉพาะพวกก๊าซไข่เน่า
                - ช่วยให้รากพืชโตเร็วแตกรากแขนงได้ดี ทำให้หาอาหารได้เก่ง
                - เพิ่มธาตุอหารในดิน ป้องกันไม่ให้ดินเป็นกรดกรด
                - ช่วยพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับพืชทำให้พ์ชแข็งแรงต้านทานโรคได้ดี
                - นำไปเป็นส่วนผสมของปุ๋ยสูตรต่างๆได้
2 ในด้านปศุสัตว์
                - ช่วยลดแก๊ส ของเสียและกลิ่นในเล้าปศุสัตว์ได้
                - ช่วยป้องกันการเกิดแบบทีเรียได้
                - ช่วยให้สัตว์แข็งแรง(โดยการผสมกับหญ้าแห้งและฟางให้สัตว์กินหรือน้ำให้สัตว์ดื่ม)
3 ในด้านประมง(การเลี้ยงปลา)
                - การเลี้ยงปลาช่วยเนื้อปลามีคุณภาพดี
                - ช่วยเพิ่มอาหารจำพวกแพลงตอนให้ปลามากขึ้น
                - เป็นอาหารของลูกปลา
                - ลดการตายของปลา
                - ทำให้น้ำสะอาด
4 ในด้านสิ่งแวดล้อม
                - ใช้ในกระบวนการบำบัดน้ำเสีย
                - ช่วยลดและป้องกันมลพิษในอากาศ
  
การนำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงไปใช้งาน

1 ในนาข้าว
- ควรใช้ 1ลิตรผสมน้ำประมาณ 20 ลิตร  ต่อ 1 ไร่   ก่อนปลูกข้าว ฉีดพ่นให้ทั่วนาข้าว
- ตอนข้าวโตแล้ว ใช้ 1 ลิตร ต่อ 1 ไร่ ฉีดพ่น   1-2 ครั้งต่อเดือน
2 ด้านประมง
- การเตรียมบ่อ ใช้จุลิทรีย์ 10 ลิตร ต่อไร่ สาดให้ทั่วบ่อ
                - ระหว่างการเลี้ยง ใช้จุลินทรีย์ 5 ลิตร ต่อไร่ สาดให้ทั่วบ่อ สัปดาห์ละครั้ง
3 บำบัดน้ำเสีย
                -.ใช้จุลินทรีย์สังเคราะห์ 5 ลิตร ต่อ น้ำหรือของเสีย 5 ตัน 

และยังมีการนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นอีกหลายอย่าง ครับ ลองอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.siliconclay.com/psb.html



BOSCH เครื่องฉีดน้ำ 110 bar รุ่น AQT 33-11 Plus + เพิ่มหัวฉีดแรงสูง Vario Fan Jet Nozzle + แชมพู 1 ลิตร