วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ห่มผ้าให้แม่พระธรณี

สวัสดีครับชาวเกษตรอินทรีย์ถ้าพูดถึงการทำเกษตรปัจจัยการผลิตที่สำคัญในการผลิตนั้นก็คือดิน ดินถือเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญเคียงคู่กับน้ำ ดินนั้นเมื่อผ่านการปลูกพืชเป็นเวลานานหรือ ปลูกพืชเชิงเดี่ยวเป็นเวลานานหรือผ่านการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงเป็นเวลานานทำให้สารอินทรีย์หรืออินทรีย์วัตถุในดินเสียหายจุลินทรีย์ในดินตายเมื่อจุลินทรีย์ ทำให้ดินผืนนั้นก็จะตายไปด้วยทำให้ปลูกอะไรไม่ค่อยเจรฺิญเติบโตทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงดินหรือใชปุ๋ยเคมีเพิ่มและถึงแม้จะให้ปุ๋ยก็ใช่ว่าจะทำให้ดินดีขึ้นกลับจะทำให้ดินเสื่อมลงไปอีก แนวทางเดียวที่จะทำให้ดินดีขึ้นคือการเพิ่มสารอินทรีย์ลงไปในดินทำให้ดินมีความชื้น เมื่อดินมีความชื้นก็จะเกิดความร้อนและจะเกิดจุลินทรีย์เมื่อมีจุลินทรีย์นั้นคือ ดินเริ่มมีชีวิต ซึ่งวิธีการเพิ่มสารอินทรีย์ลงไปในดินนั้นอาจทๆได้หลายวิธีแต่วิธีการที่จะให้ผลระยะยาวนั้นคือการ "ห่มดิน" ซึ่งการห่มดินเป็นแนวทางหนึ่งในการพํฒนาผืนดิน เราจะห่มดินอย่างไรไปดูกันครับ



ในหลวงทรงให้ความรู้เรื่องการห่มดิน
 ในหลวงทรงรับสั่งให้ “ห่มดิน อย่าเปลือยดิน”  การทำให้โคนเตียนด้วยการถากเท่ากับเป็นการเปลือยดิน ทางที่ดี หากมีแรงจ้างตัดหญ้า น่าจะดี เพราะหญ้าที่ตัดจะเป็นอินทรียวัตถุให้ดินย่อยเป็นปุ๋ย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ(รัชกาลที่๙) ทรงพระราชทานแนวพระราชดำริในการดูแลและรักษาดินอีกทางหนึ่ง นั่นคือ “การห่มดิน” เพื่อให้ดินมีความชุ่มชื้น จุลินทรีย์ทำงานได้ดี อันจะส่งผลให้ดินบริเวณนั้นทำการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและพัฒนาทรัพยากรดินให้เกิดแร่ธาตุ ทั้งนี้การห่มดินมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีการ เช่น ใช้ฟางและเศษใบไม้มาห่มดินหรือวัสดุอื่นตามที่หาได้ตามสภาพทั่วไปของพื้นที่, การใช้พรมใยปาล์ม (wee drop) ซึ่งทำมาจากปาล์มที่ผ่านการรีดน้ำมันแล้ว เริ่มจากการนำทะลายปาล์มมาตะกุยให้เป็นเส้น ๆ ก่อนจะเอาไปอัดให้เป็นแผ่นเป็นผ้าห่มดิน นอกจากประโยชน์ที่กล่าวไปแล้ว การห่มดินยังจะช่วยคลุมหน้าดินไม่ให้วัชพืชขึ้นรบกวนต้นไม้พืชหลักอีกด้วย 
ดินเป็นปัจจัยสำคัญในการกสิกรรม
ดินจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญในการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ หรือ “การกสิกรรม” หรือ “การเกษตรกรรม” การพัฒนารักษาคุ้มครอง “ดิน” การเพิ่มความอุ้มน้ำให้แก่ดิน เช่น การเติมอินทรียวัตถุให้แก่ดินเศษวัชพืช แกลบดิบ ถ้าประสบพบเจอกับอากาศที่หนาวเย็น แห้งแล้งก็ต้องรู้จักรักษาดิน  รักษาความนุ่มชุ่มชื้นจากอินทรียวัตถุจากตอซังฟางข้าว หรือเศษซากใบอ้อย ซึ่งรวม ๆ การกระทำดังกล่าวเป็นไปตามหลัก “กสิกรรมธรรมชาติ” หรือ “หลักการเกษตรชีวภาพ” 3 ประการคือ
 1 การเลี้ยงดิน ให้ดินเลี้ยงพืช 
 2 การปรุงอาหารเลี้ยงดิน 
 3 การห่มดิน
การห่มดิน คืออะไร 
การห่มดิน คือ เป็นการป้องกันการระเหยของความชื้นที่อยู่ในดิน และเป็นที่อาศัยของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ จุลินทรีย์ชอบอยู่ในที่มืดที่มีความชุ่มชื้น ซึ่งจะทำให้จุลินทรีย์ทำงานและขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะทำให้ดินมีความสมบูรณ์
การห่มดิน เป็นวิธีการป้องกันหญ้าที่ขึ้นในพื้นที่เราได้ด้วย เพราะหญ้าโดนคลุมไว้ก็ไม่สามารถเจริญเติบโตได้
การห่มดิน เป็นวิธีการเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน หรือเป็นการปรับปรุงดินก่อนการเพาะปลูก ดินที่ดีสังเกตจะมีเชื้อราเกิดขึ้น และต้องใช้ร่วมกับ น้ำหมักชีวภาพ จะทำให้ดินมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ปลูกหญ้าแฝกด้วย ใบแฝกก็ตัดมาห่มดินได้ ก็เป็นการดี
การห่มดินเพื่อให้จุลินทรีย์ในดินมีความอุดมสมบูรณ์ ถ้าเปลือยดินไว้จะทำให้จุลินทรีย์ตาย ต้นไม้จะไม่สามารถเจริญเติบได้ 
ปัญญาธรรมชาติรักดินต้องปรับปรุง
เรื่องการห่มดินสรุปว่า เป็น “ปัญญาธรรมชาติ” “รักดินต้องปรับปรุง รักท้องทุ่งต้องใช้อินทรียวัตถุไปปรับปรุงดิน” ช่วงก่อนปี 2553-2554 มีการศึกษาและให้ความสำคัญในเรื่องนี้ อ.วิวัฒน์ ศัลยกำธร กล่าวไว้ว่าพืชพันธุ์หรือต้นไม้ไม่ว่าพืชชั้นสูงพืชชั้นต่ำ ไม้ใหญ่ไม้เล็กก็ต้องการความสมดุลทางธรรมชาติเช่นเดียวกันทั้งสิ้นบางครั้งสิ่งที่เขาขาดไปเราก็สามารถแต่งเติมธรรมชาติให้เขาได้เช่นกันโดยไม่ทิ้งความจริงของธรรมชาติเช่น การห่มดิน
นักวิชาการเสริมอีกว่า การรักษาดินโดย
(1) ไม่ซ้ำเติมดินคืนจุลินทรีย์ให้ดินช่วยปลุกพระแม่ธรณีคืนชีพ
(2) ต้องมีความเข้าใจในพื้นที่แต่ละแห่งแล้วลงมือทำอย่างมีความหวังใบไม้แห้งกิ่งไม้แห้งที่ล่วงหล่นยามแล้งอย่ากวาดออกไปปล่อยให้ล่วงหล่นมาห่มดินให้ค่อยๆเรียกความชื้นเพิ่มขึ้นมา
(3) ยามที่ฝนฟ้าคะนองเทน้ำมาให้ก็จำบังหน้าดินไม่ให้ถูกกระแทกอย่างรุนแรง แถมยังกักเก็บน้ำไว้ให้หน้าดินได้นาน
(4) เมื่อมีความชื้นความอบอุ่นเหล่าสิ่งมีชีวิตตัวเล็กตัวน้อยก็จะมาอาศัยอยู่สร้างกิจกรรมตามธรรมชาติ
แล้วจะนำมาการฟื้นแผ่นดิน




ต่อมามีการศึกษาเรียนรู้ต่อยอดจากประสบการณ์นำแนวคิดการทำเกษตรผสมผสานตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงมาปรับใช้ โดยการปรับคุณภาพดินด้วยการ “ห่มดิน” ด้วยฟางข้าว เป็นต้น เพื่อทำให้ดินมีชีวิต การรักษาไม้ยืนต้นเดิมที่มีอยู่ในพื้นที่สวน และเสริมพันธุ์ไม้ใหม่ที่เหมาะสมกับพืชเดิมที่มีอยู่ ด้วยแนวคิดการปลูกพืช 5 ระดับ คือ พืชใต้ดิน พืชเลื้อย พืชพ้นดิน พืชยืนต้นระดับกลาง และไม้ยืนต้นระยะยาว ในพื้นที่เดียวกัน


TH Rainy Day Essentials

วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ลูกเขาคันผักพื้นบ้าน ที่ไครได้ทานต้องติดใจ ประโยชน์มีอย่างไรไปดูกัน!!!

ลูกเขาคันผักพื้นบ้าน ที่ไครได้ทานต้องติดใจ ประโยชน์มีอย่างไรไปดูกัน!!!

ถ้าพูดถึงผักพื้นบ้านที่ชื่อว่า "ลูกเขาคัน" ในภาษาปักษ์ใต้ อาจมีหลายคนไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่ามันคือลูก "เถาคัน" ไครหลายคนคงร้องอ๋อ  






ลูกเขาคัน หรือ เถาคัน เป็นชื่อที่คนภาคใต้เรียกพืชชนิดนี้ เขาคัน เป็นไม้เถาเลื้อย มีหนวดเกาะเกี่ยวขึ้นไปตามไม้อื่นเป็นที่พึ่ง มักชอบขึ้นที่ชื้นค่อนข้างต่ำโดยเฉพาะริมแม่น้ำ ลำคลอง ป่าริมทะเล ส่วนมากพบเห็นแถวภาคใต้ ในพื้นที่ภาคกลาง และภาคอีสาน

ในภาคใต้นั้นมีผักผลไม้ที่ให้รสเปรี้ยวมีมากมาย ทั้งมะขาม มะนาว ส้มแขก ส้มจี๊ด ใบชะมวงแต่ในบางช่วงเวลาพืชผักเหล่านี้มีราคาค่อนข้างแพง หรือหาไม่ได้ ภูมิปัญญาชาวบ้านคนในรุ่นบรรพชนได้ค้นหาพืชผักที่รสเปรี้ยวมาแทน นั้นคือ ลูกเขาคัน โดยส่วนมากจะนำเขาคันมาทำเป็นแกงส้มกับปลาสดๆโดยเฉพาะดุกนาหรือปลาดุกเนื้ออ่อน หรือแม้แต่แกงกับปลาทะเลก็อร่อยไม่แพ้กัน

ถึงแม้ลูกเขาคันถ้าทานสดๆอาจจะมีการระคายเคืองในลำคอบ้าง(อันนี้ผู้เขียนลองชิมเอง)แต่ถ้านำมาแกงรับรองอร่อยจนต้องขอเพิ่ม 






 เมนูขึ้นชื่อแกงส้มปลาดุกนาลูกเขาคัน






แกงส้มลูกเขาคันนั้นจะมีรสชาดเปรี้ยวอ่อนๆจะไม่เปรี้ยวจัดเหมือนมะนาวหรือผักรสเปรี้ยวอื่นและจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของมันเอง

เขาคันนั้นมีลักษณะ เป็นไม้เถาโดยขึ้นอาศัยตามต้นไม้อื่นหรือกำแพง มีดอกออกจากข้อเป็นช่อสีขาว ลักษณะทั้งเถา ใบ ผล เหมือนองุ่นป่า เพราะช่อดอกและติดผลเป็นพวงคล้ายองุ่น ผลหรือลูกจะกลมเป็นพวงสีเขียวใส ผิวมันเรียบ เมื่อสุกผลจะเป็นสีม่วงแดงและเมื่อสุกเต็มที่จะมีสีม่วงดำ น้ำในผลที่แตกหากถูกผิวหนังจะทำให้คันระคายเคือง


เขาคัน ในประเทศไทย มี 2 ชนิด คือ
  1. เขาคันขาว เป็นชนิดที่ผลใช้เป็นผักแกงส้ม และเมื่อสุกเต็มที่จะมีสีม่วงดำเอามาต้มกับน้ำตาลแล้วกิน แต่น้ำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ หรือในสมัยก่อนผลสุกสีดำมักใช้เป็นสีย้อมผ้า
  2. เขาคันแดง เป็นชนิดที่พบตามป่าเต็งรัง เปลือกเถาอ่อนสีแดง เถาแก่สีน้ำตาลอมแดง ใบและก้านใบสีแดงถึงแดงอมม่วง แพทย์แผนไทยจะใช้เขาคันแดงเป็นยาสมุนไพร คือ เถาสด หรือเถาแห้งใช้ต้มดื่มน้ำช่วยขับปัสสาวะ แก้นิ่ว เป็นยาฟอกโลหิต แก้ฟกช้ำภายในขับเลือดเน่า ขับน้ำคาวปลา
 สรรพคุณของเขาคัน

เถาใช้ปรุงเป็นยาต้มกิน เป็นยารักษาโรคกษัย เป็นยาฟอกเลือด เป็นยาขับเสมหะ ขับลม รักษาอาการฟกช้ำภายใน และช่วยทำให้เส้นเอ็นหย่อน (เถา)

ใบนำไปอังกับไฟให้พอเหี่ยว ใช่ปิดฝีบ่มหนอง ถ้าฝีนั้นแตกก็จะทำให้ดูดหนองได้ คล้ายขี้ผึ้งอิดติโยนของฝรั่ง (ใบ)

ประโยชน์ของเขาคัน

ผลดิบใช้กินเป็นอาหารได้ (ให้รสชาติขมเล็กน้อย ใช้ใส่น้ำพริกและใช้แกงส้ม) (แต่มีข้อมูลชี้ว่าผลเถาคันแดงมีกรดออกซาลิคซึ่งเป็นสารพิษ หากได้รับในปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการคัน เพราะสารนี้มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อผนังกระเพาะลำไส้และจะถูกดูดซึมผ่านผนังที่อักเสบจนทำให้เกิดเป็นแคลเซียมออกซาเลทได้ มีผลทำให้ปริมาณของแคลเซียมอิออนลดลง ซึ่งภาวะเช่นนี้จะมีผลต่อการทำงานของหัวใจและประสาทส่วนกลาง ไตพิการ เนื่องจากมีการตกตะกอนของแคลเซียมออกซาเลท)ยอดอ่อนมีรสจืด มักนำมาลวก ต้ม จิ้มกับน้ำพริกหรือรับประทานเป็นผักสด



                                                                      little House channel website